ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากกองทุนรวม
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาก่อนตัดสินใจลงทุน" มักเป็นประโยคทิ้งท้ายของหนังสือชี้ชวนของบริษัทจัดการกองทุนต่างๆ เพื่อเป็นคติเตือนใจให้ผู้ลงทุนเข้าใจว่าความเสี่ยงในการลงทุนนั้นมีบ้าง ไม่มากก็น้อย ถึงแม้ว่าจะให้ระดับมืออาชีพบริหารเงินกองทุนแล้วก็ตาม สิ่งสำคัยคือ คุณสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด และรู้จักความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นบ้างหรือไม่ ความเสี่ยงของกองทุนรวมแต่ละประเภทนั้นมีลักษณะในทำนองเดียวกันกับตราสารหรือหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมนั้นๆ เน้นลงทุน เช่น กองทุนรวมตราสารทุนก็จะมีความเสี่ยงแบบเดียวกับความเสี่ยงของตราสารทุน กองทุนรวมตราสารหนี้ก็จะมีความเสี่ยงแบบเดียวกันกับความเสี่ยงของตราสารหนี้ แต่คสามเสี่ยงที่ผู้ลงทุนจะได้รับจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นจะน้อยกว่าความเสี่ยงของการลงทุนในหลักทรัพย์หลายตัวด้วยตนเอง
ความเสี่ยงประเภทต่างๆที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม
- Market Risk เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเมื่อราคาหรือผลตอบแทนของตราสารทางการเงินที่อยู่ในตลาดมีการปรับตัวผันผวนเพราะมีปัจจัยต่างๆ มากระทบ อันได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจระดับมหาภาค ความผันผวนของค่าเงินหรืออัตราดอกเบี้ย กระแสทางการเมือง ภาวะสงคราม และภัยธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากกระแสความรู้สึกของผู้ลงทุนที่มีต่อสภาวะตลาด (Market Sentiment) โดยแต่ละปัจจัยสร้างผลกระทบต่อตราสารทางการเงินแต่ละประเภทได้แตกต่างกัน ความเสี่ยงประเภทนี้ไม่สามารถขจัดไปได้ แต่มีวิธีง่ายๆที่สามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงประเภทนี้ คือ ติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุนอย่างใกล้ชิด
- Interest Rate Risk คือ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย โดยปกติแล้วราคาของตราสารหนี้จะสูงขึ้นหรือลดลงก็เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย กรณีที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินลดลง จะส่งผลให้ราคาตลาดของตราสารหนี้สูงขึ้น เนื่องจากอัตราที่ดอกเบี้ยที่ระบุไว้บนตราสารหนี้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินที่ลดลงนั้นเอง ในทางตรงกันข้ามถ้าอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มสูงขึ้นกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ ราคาตลาดของตราสารหนี้นั้นก็จะลดลง แน่นอนว่าความเสี่ยงประเภทนี้ยากที่จะขจัดไปได้เช่นเดียวกัน สำหรับวิธีบรรเทาความเสี่ยงชนิดนี้ก็คือ การดูจังหวะการลงทุน (Market Timing) และเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีกำหนดอายุไถ่ถอนคืนสั้น เนื่องจากยิ่งตราสารหนี้เหลืออายุการไถ่ถอนคืนยาวเท่าใด ก็จะมีโอกาสที่จะเผชิญกับความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยมากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าความเสี่ยงประเภทนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อกองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้
- Purchasing Power Risk คือ ความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) โดยมีผลให้อำนาจการซื้อของเงินที่ได้จากการลงทุน หรือทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับลดลงนั่นเอง นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อมูลค่าของหลักทรัพย์ที่ถือครองโดยกองทุนรวม เนื่องจากความไม่แน่นอนของระดับราคาหลักทรัพย์ ความเสี่ยงประเภทนี้ไม่สามารถขจัดไปได้ สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงประเภทนี้ได้โดยการติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด
- Liquidity Risk คือ ความเสี่ยงจากการที่ผู้ลงทุนไม่สามารถแปรสภาพหลักทรัพย์ที่ถือครองอยู่ให้เป็นตัวเงินได้ในทันทีอาจเป็นเพราะขายไม่ได้ หรือขายได้แต่ไม่ได้ในราคาที่กำหนดไว้ กรณีกองทุนรวมซึ่งมีกฎหมาย ในเรื่องการถือครองทรัพย์สินใกล้เคียงเงินสด โดยปกติต้องดำรงสัดส่วนการถือครองทรัพย์สิน และทรัพย์สินใกล้เคียงเงินสดให้ได้อยู่ในอัตราที่กำหนด หากทรัพย์สินที่ถือครองนั้นไม่สามารถแปรสภาพเป็นเงินสดได้เมื่อจำเป็น ก็คงต้องประสบปัญหาเป็นแน่แท้ สำหรับวิธีลดระดับความเสี่ยงประเภทนี้ ได้แก่ การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีมูลค่า และปริมาณการซื้อ (Volume) ในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ
- Sector Or Industry Risk คือ ความเสี่ยงเฉพาะตัวของแต่ละอุตสหกรรม อันอาจเกิดจากอุตสหกรรมเริ่มอิ่มตัวการเป็นอุตสหกรรมที่ไม่ได้การสนับสนุน และแนวโน้มของอุตสหกรรมไม่ค่อยดี เป็นต้น โดยวิธีลดระดับความเสี่ยงประเภทนี้ก็คือ การเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ มากกว่าหนึ่งอุตสหกรรม หรือที่เรียกกันว่า การกระจายความเสี่ยงการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Deversification) นั้นเอง ซึ่งในกรณีกองทุนรวมสามารถระดมเงินทุนได้จากผู้ลงทุนจำนวนมาก จึงทำให้ผู้จัดการกองทุนรวมสามารถกระจายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าที่ผู้ลงทุนแต่ละคนจะสามารถทำได้เอง
- Specific Or Company Risk คือ ความเสี่ยงเฉพาะตัวของบริษัทผู้ออกตราสาร อันอาจเกิดขึ้นจากคุณภาพของทีมผู้บริหาร การบริหารงานที่ผิดพลาดและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเป็นต้น สำหรับวิธีลดระดับความเสี่ยงประเภทนี้ ก็คือ การกระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์มากกว่าหนึ่งประเภท นอกจากความเสี่ยงที่เกิดจากตัวผู้ออกตราสารแล้ว ความเสี่ยงประเภทนี้ยังรวมถึงความเสี่ยงในการเลือกบริษัทจัดการกองทุนรวมอีกด้วย เพราะหากผู้จัดการกองทุนรวมไม่มีความสามารถเพียงพอ ก็อาจจะทำให้ผู้ลงทุนเสียหายได้เช่นกัน
- Credit Or Default Risk คือ ความเสี่ยงเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือในด้านฐานะของผู้ออกตราสาร อาจเกิดขึ้นเพราะผู้ออกตราสารทางการเงินไม่สามารถทำตามเงื่อนไข หรือข้อผูกผันที่มีอยู่ เช่น บริษัทผู้ออกตราสารหนี้บางราย ไม่สามารถจ่ายคืนเงินต้น และดอกเบี้ยให้กับผู้ลงทุนได้ ย่อมมีผลต่อกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในตราสารดังกล่าว ความเสี่ยงประเภทนี้สามารถลดลงได้โดยการกระจายการลงทุนในตราสารหลากหลายประเภท หรืออาจจะลงทุนในระยะเวลาที่ยาวขึ้นก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังอาจพิจารณาความเสี่ยงได้โดยดูจากผลอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของบริษัทผู้ออกตราสารนั้น ที่จัดทำขึ้นโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating Agency) ประเทศไทยมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ The Thai Rating and Information Service Co.,Ltd. (TRIS) และ The Fitch Ratings (THAILAND) Ltd.
ระดับความเสี่ยงของการลงทุนในกองทุนรวมประเภทต่างๆ
ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในกองทุนรวม
เมื่อการลงทุนของกองทุนรวมมีกำไรผู้ถือหน่วยลงทุนก็จะได้รับ
- ส่วนแบ่งกำไรในรูปของเงินปันผล (Dividend) โดยเฉพาะในกรณีที่กองทุนนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผล
- กำไรส่วนเกินมูลค่าหน่วยลงทุน (Capital Gain) เมื่อผู้ลงทุนนั้นขายคืนหน่วยลงทุนกับบริษัทจัดการ ซึ่งวัดได้จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้นจากมูลค่าที่แรกเริ่มลงทุน
เมื่อกองทุนรวมนำเงินไปลงทุนในตราสารทุน ผลตอบแทนที่ได้รับ คือ
- เงินปันผล (Dividend) คือ เงินส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานในแต่ละปีของกิจการที่กองทุนรวมนำเงินไปลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับประมาณเดือนเมษายนของทุกปี
- กำไรส่วนเกินทุน ( Capital Gain) คือ ผลต่างระหว่างราคาขายหลักทรัพย์ และราคาทุนที่ซื้อมาเกิดขึ้นเมื่อกองทุนรวมนั้นสามารถขายหลักทรัพย์ที่ลงทุนไว้ได้ในราคาที่สูงกว่าราคาทุนที่ซื้อมา
เมื่อกองทุนรวมนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ ผลตอบแทนที่ได้รับ คือ
- ดอกเบี้ยรับ (Interest Received) กองทุนรวมจะได้รับดอกเบี้ยประจำเป็นงวดๆ เมื่อถือตราสารหนี้ไว้จนครบกำหนดไถ่ถอน หรือเมื่อขายตราสารหนี้ที่ลงทุนนั้นออกไป
- ส่วนลดรับ (Discount Earned) หากกองทุนรวมลงทุนในตราสารหนี้ประเภทไม่จ่ายดอกเบี้ย (Zero Coupon Bond) ก็จะได้รับส่วนลดรับ ซึ่งเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ และมูลค่าชำระคืน เมื่อครบกำหนดไถ่กอน
- กำไรส่วนเกินทุน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินลดลง ส่งผลให้ราคาของตราสารหนี้ในตลาดสูงขึ้น
การคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และมูลค่าทรัพย์สินสุทธิต่อหน่วยลงทุน สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ(NAV)=มูลค่าทรัพย์สินตามราคาตลาด+ผลตอบแทนสะสม + เงินสด-ค่าใช้จ่ายของกองทุน
มูลค่าต่อหน่วย (NAV ต่อหน่วย) = มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ / จำนวนหน่วยลงทุน
มูลค่าต่อหน่วย "น้อยกว่า" ราคาที่ลงทุนเริ่มแรก ผู้ลงทุนอยู่ในฐานะ "ขาดทุน"
มูลค่าต่อหน่วย "มากกว่า" ราคาที่ลงทุนเริ่มแรก ผู้ลงทุนอยู่ในฐานะ "กำไร"
ในกรณีของกองทุนปิด จะมีการประกาศมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ และมูลค่าต่อหน่วย ให้ผู้ลงทุนทราบทุกวันสุดท้ายของสัปดาห์สำหรับในกรณีของกองทุนเปิดจะทำการประกาศทุกวันทำการที่มีการซื้อขายหน่วยลงทุน การประกาศดังกล่าวต้องกระทำในหน้าหนังสือพิมพ์ข่าวธุรกิจอย่างน้อยหนึ่งฉบับ หรือเผยแพร่ ณ ที่ทำการหรือเว็ปไซต์ของบริษัทตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ผู้ลงทุนทราบและนำไปใช้ในการวิเคราห์สถานะการเงินของตนในกองทุนรวมนั้น โดยอาจนำมูลค่าทรัพย์สินสุทธิดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีต หรือเปรียบเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนอื่นที่มีนโยบายคล้ายกันในช่วงเวลาเดียวกันหรืออาจเปรียบเทียบกับดัชนีมาตราฐาน เช่น ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น